สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงส่งเสริมสหกรณ์ในโรงเรียน
เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่นักเรียนในการรวมกันซื้อ รวมกันขาย
หลักการทำบัญชีออมทรัพย์
“…เรื่องสหกรณ์โรงเรียน (เริ่ม พ.ศ. ๒๕๓๔) ก็เป็นงานหนึ่งที่ข้าพเจ้าพยายามจัดให้มีขึ้นทุกแห่ง เมื่อเริ่มโครงการข้าพเจ้ากำชับไว้ว่าผลผลิตที่เกิดจากงานเกษตรห้ามขายเด็ด ขาด ต้องให้นักเรียน
รับประทานเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของโครงการ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณเกินกว่าที่จะบริโภคได้หมด ก็ให้ทำการถนอมอาหารเก็บไว้ หรือแจกให้นักเรียนไปรับประทานที่บ้าน ต่อมาเมื่อโครงการประสบความสำเร็จพอสมควรแล้ว ก็ยอมให้ขายได้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้โครงการบางส่วนเลี้ยง ตัวเองได้ ทั้งนี้ต้องไม่ให้มีผลกระทบต่อภาวะโภชนาการ เมื่อมีการซื้อขาย ก็ต้องเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าระบบที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่เป็น ที่ตั้งโรงเรียน ตชด. มากที่สุดก็คือ ระบบสหกรณ์ เพราะแต่ละคนมีเงินน้อย เมื่อร่วมกันจึงพอลงทุนธุรกิจใดๆ ได้ ในหนังสือเรียนชั้นประถมศึกษา ก็มีบทที่ว่าด้วยการสหกรณ์อยู่แล้ว จึงสนับสนุนให้มีการปฏิบัติจริงในโรงเรียน กรมส่งเสริมสหกรณ์ (สหกรณ์จังหวัด สหกรณ์อำเภอ)
ได้มาช่วยจัดกิจกรรมสหกรณ์ โดยให้สหกรณ์ (จริงๆ) ที่อยู่ใกล้เคียง ช่วยเป็นพี่เลี้ยงดูแลแนะนำให้กรรมการสหกรณ์เด็กนักเรียนไปดูงานถ้าเป็นไป ได้…”

“…ส่วนใหญ่จัดเป็นสหกรณ์ร้านค้าและสหกรณ์ออมทรัพย์ มีร้านค้าขายของใช้จำเป็น ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าจะซื้อของมาใช้ในโรงเรียน ก็ให้ซื้อผ่านสหกรณ์ ก็จะได้เป็นราคาขายส่ง ในการที่จะขายสินค้าต่างๆแม้แต่ขายของจากแปลงเกษตรเข้าโรงครัวก็ให้ผ่าน สหกรณ์ การที่จะร่วมมือกันหาตลาดผลิตภัณฑ์ก็ต้องให้กรรมการสหกรณ์รับทราบ การฝึกหัดเด็กนักเรียนในเรื่องสหกรณ์ ทำให้เด็กได้ฝึกหัดทักษะหลายอย่าง คือ หัดมาประชุมกัน ใช้เหตุผลโต้เถียงกัน อันเป็นการฝึกหัดการอยู่ในสังคมประชาธิปไตยเมื่อประชุมก็ให้มีการจดบันทึก การประชุม เป็นการฝึกหัดเขียนหนังสือ ฝึกหัดขาย เมื่อขายก็ต้องรู้จักการทำบัญชี ซึ่งก็เป็นอีกวิชาหนึ่ง…บางครั้งกิจการร้านค้าสหกรณ์เจริญรุ่งเรืองมาก เด็กนักเรียนและครูพากันไปขายของ ทำให้ละเลยเรื่องการเรียนการสอน ก็ต้องเตือนกัน…”
(จากหนังสือ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เกี่ยวกับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน)

“…การออมทรัพย์เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะช่วยให้มีการวางแผนชีวิต ไม่ให้ใช้จ่ายเกินกว่า
ที่ตนเองมี เพื่อให้มีพอใช้เมื่อจำเป็น เช่น เวลาเจ็บไข้ เป็นต้น…”
(จากหนังสือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายเรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร)

พระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ด้านต่างๆ ดังข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น ที่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพในการพัฒนาที่ได้ทรงเน้นให้เกิดประโยชน์สูง สุดแก่เด็ก และเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาหารที่เพียงพอในขณะกำลังศึกษา การฝึกปฏิบัติจริง เพื่อจะได้เป็นวิชาติดตัวไปประกอบเป็นอาชีพได้ การส่งเสริมการรวมกลุ่มในการช่วยกันคิด ช่วยกันทำการฝึกทักษะในการจัดทำบัญชี รวมไปถึงการส่งเสริมการออม จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของเด็กและเยาวชนในอนาคตต่อไป
ข้อมูลจาก หนังสือ สืบสานพระราชปณิธาน สามทศวรรษจรัสหล้า การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
การดำเนินงานพัฒนาอาหาร โภชนาการและสุขภาพอนามัยในโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีจะมีหน่วยงานหลักคือสำนักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่รับผิดชอบในการนำพระราชดำรัสมาสู่การปฏิบัติ โดยผ่านทางแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดทำขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่พ.ศ. 2535 เป็นแผนระยะ 5 ปี (ฉบับที่ 1-3) และ 10 ปี (ฉบับที่ 4) แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำรินี้จึงเป็นกรอบแนวคิดและทิศทางการพัฒนาเด็กนักเรียนให้แก่โรงเรียนในโครงการตามพระราชดำริทุกโรง

แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2550-2559 มีเป้าหมายสูงสุด คือ เด็กและเยาวชน มีโภชนาการดีสุขภาพแข็งแรง ใฝ่เรียนรู้ ซื่อสัตย์ ประหยัด และอดทน มีความรู้และทักษะทางวิชาการและการอาชีพเพื่อเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต รักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติได้
ในการพัฒนาอาหาร โภชนาการและสุขภาพอนามัยในโรงเรียนตามพระราชดำรินั้น จึงมีเป้าหมายที่ให้เด็กนักเรียนทุกคนมีภาระโภชนาการดี สุขภาพแข็งแรง ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นและคุณลักษณะที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นการพัฒนาที่มีเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นให้เด็กนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง (Learning by doing) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะและตุณลักษณะที่เหมาะสมที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงและพึ่งตนเองได้ในที่สุด มีโรงเรียนเป็นฐานที่สำคัญของการปฏิบัติงานและครูเป็นแผนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนา พร้อมกับอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
บทเรียนจากโรงเรียนในโครงการตามพระราชดำริที่ได้ดำเนินการพัฒนาอาหาร โภชนาการและสุขภาพอนามัยในโรงเรียนตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี มีองค์ประกอบของการพัฒนา ดังนี้
1. การเกษตรในโรงเรียน
2. สหกรณ์นักเรียน
3. การจัดบริการอาหารของโรงเรียน
4. การติดตามภาวะโภชนาการ
5. การพัฒนาสุขนิสัยของนักเรียน
6. การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ
7. การจัดบริการสุขภาพ
8. การจัดการเรียนรู้ : เกษตร โภชนาการ และสุขภาพอนามัย
สมเด็จพระเทพ ฯ ทรงใช้โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันเป็นจุดเชื่อมโยงการดำเนินกิจกรรมพัฒนาอื่น ๆ ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
กรอบแนวคิดและองค์ประกอบของการพัฒนาอาหาร โภชนาการและสุขภาพอนามัยในโรงเรียน

ความเชื่อมโยงของโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน กับการพัฒนาศักยภาพของเด็กนักเรียน

แนวทางการบริหารจัดการ
การพัฒนาอาหาร โภชนาการ และสุขภาพอนามัยในโรงเรียน
การดำเนินงานพัฒนาอาหาร โภชนาการ และสุขภาพอนามัยในโรงเรียนอย่างครบวงจร สม่ำเสมอต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อให้ผลของการพัฒนาเกิดขึ้นกับตัวเด็กนักเรียนทุกคนดังพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีนั้น จำเป็นต้องอาศัยการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการ บริบทของชุมชน และวัฒนธรรมประเพณี ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการการดำเนินงานพัฒนาอาหาร โภชนาการ และสุขภาพในโรงเรียนเป็นบทเรียนจากโรงเรียนในโครงการตามพระราชดำริ
การเกษตรในโรงเรียน
การเกษตรในโรงเรียน เป็นกิจกรรมสำคัญอันดับแรกที่โรงเรียนในโครงการตามพระราชดำริทุกโรงเรียนดำเนินการจุดมุ่งหมายของการเกษตรในโรงเรียน คือ
1. ผลิตวัตถุดิบอาหารสำหรับใช้ในการจัดอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนทุกคนทุกวัยเรียน
2. พัฒนาเด็กนักเรียนทุกคนให้มีความรู้ทักษะและทัศนคติที่ดีทางการเกษตรผสมผสาน เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตในอนาคต
การเกษตรในโรงเรียน จะครอบคลุมกิจกรรมทุกขั้นตอนตลอดระบบการผลิตอาหาร ได้แก่ ปัจจัยการผลิต กระบวนการผลิต การเก็บเกี่ยวผลผลิต การแปรรูป การจำหน่ายและการกระจายผลผลิตสู่ผู้บริโภค
ระบบการผลิตอาหารในโรงเรียน
บุคลากรที่เกี่ยวข้อง บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการทำการเกษตรในโรงเรียน ได้แก่ 1) นักเรียน 2) ครู 3) ชุมชน
(1) เด็กนักเรียน เป็นบุคลากรหลักในการทำการเกษตรของโรงเรียน โดยทั่วไปโรงเรียนจะจัดการโดยแบ่งเด็กนักเรียน (ส่วนมากจะเป็นระดับชั้นประถม 4-6) เป็นกลุ่มการผลิตประเภทต่างๆ เช่น กลุ่มพืชผักไม้ผล กลุ่มเห็ด กลุ่มไก่ไข่ กลุ่มไก่เนื้อ กลุ่มปลาดุก ฯลฯ
การแบ่งกลุ่มเด็กนักเรียนมีวิธีดำเนินการได้ 2 วิธี คือ 1) ความสมัครใจของเด็กแต่ละคน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความชอบและความสนใจ วิธีการนี้พบว่าเด็กนักเรียนต้องทำ วิธีการนี้ครูจำเป็นต้องปลูกฝังทัศนคติที่ดีควบคู่ไปกับการทำกิจกรรม ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการจัดกลุ่มเด็กนักเรียน คือ ผู้ปกครอง ซึ่งมีทัศนคติว่างานเกษตรเป็นงานหนัก โดยเฉพาะการปลูกพืชผัก ต้องขุดดิน ทำให้ไม่อยากให้บุตรหลานของตนทำงานนี้
บทบาทหน้าที่ของเด็กนักเรียนในแต่ละกลุ่มมีดังนี้
– รับผิดชอบดูแลการผลิต ตลอดระบบการผลิต ตั้งแต่ปัจจัยการผลิตจนถึงการจำหน่าย
– จดบันทึกการทำงานของตนเองในแต่ละวัน
– จดบันทึกผลผลิตที่ได้
– จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
นอกจากรับผิดชอบหลักในแต่ละกลุ่มแล้ว ในบางโรงเรียนจะมอบหมายให้เด็กนักเรียนชั้นประถม 4-6 ทุกคนเป็นเจ้าของแปลงผัก 1-2 แปลง และเด็กนักเรียนชั้นประถม 1-3 ซึ่งยังเล็กอยู่เป็นผู้ช่วยในการรดน้ำผัก
ผลตอบแทนที่เด็กนักเรียนได้รับ มักเป็นผลผลิตที่ตนเองผลิต เช่น กลุ่มไก่ไข่ ทุกวันศุกร์จะมีการแบ่งไข่ให้เด็กนักเรียนคนละ 3 ฟอง/สัปดาห์ กลุ่มผักให้เจ้าของแปลงคนละ 2 ครั้ง/รุ่น (คนละ 1 หม้อ) กลุ่มเลี้ยงปลาดุก ได้รับเงินปันผล
(2) ครู เป็นบุคคลที่เป็นผู้ผลักดัน อำนวยการ จัดหาปัจจัย จัดสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานเพื่อการเรียนรู้ของเด็กนักเรียน
– ครูใหญ่ เป็นผู้แต่งตั้งหรือมอบหมายครูรับผิดชอบงานเกษตร โดยมีวิธีการคัดเลือกครูเกษตร ดังนี้ 1) เลือกครูที่มีพื้นฐานทางการเกษตร เช่นมีคุณวุฒิทางเกษตรหรือมาจากครอบครัวเกษตรกรรม 2) เลือกจากครูที่มีความสนใจ
– ครูผู้รับผิดชอบงานเกษตร หรือเรียกชื่อว่า ครูเกษตรอาจมี 2-3 คน เพื่อแบ่งงานกัน เช่น ครูกลุ่มพืชผัก-ไม้ผล-เห็ด ครูกลุ่มปลา ครูกลุ่มปศุสัตว์ ครูเกษตรมีบทบาทหน้าที่ดังนี้
+ จัดทำแผนการผลิต และดำเนินการให้ได้ตามแผน
+ ประสานกับครูที่รับผิดชอบอาหารกลางวัน เพื่อนำผลผลิตไปประกอบอาหาร
+ ลงมือปฏิบัติร่วมกับเด็กนักเรียน ไปพร้อมๆ กับถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กนักเรียน
+ ตรวจบันทึกการทำงานของเด็กนักเรียน
+ ควบคุมกองทุนการผลิตของกลุ่มการผลิตที่ตนรับผิดชอบ
– ครูอื่นๆ ในโรงเรียน นอกจากครูที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบหลักแล้ว ในบางโรงเรียนอาจให้ครูทั้งโรงเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเกษตรของโรงเรียนโดยจัดเวรลงปฏิบัติงาน เช่น ดูนักเรียนลงแปลงรดน้ำผักให้อาหารสัตว์ ทำความสะอาดแปลง เป็นต้น
(3) ชุมชน มีบทบาทในการออกแรงพัฒนาบุกเบิกพื้นที่การเกษตรของโรงเรียน ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานมาก เกินกว่าที่นักเรียนจะดำเนินการได้ด้วยตนเอง เป็นการแบ่งเบาภาระของโรงเรียน หลังจากนั้นนักเรียนสามารถมาทำกิจการรมได้สะดวกขึ้น เช่น การถางหญ้าตัดกิ่งไม้ การยกแปลง การก่อสร้างซ่อมแซมรั้วโรงเรียน การก่อสร้างคอกสัตว์ โรงเพาะเห็ด เป็นต้น โดยทั่วๆ ไปชุมชนจะมาช่วยพัฒนาโรงเรียนเดือนละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการร้องขอจากโรงเรียน นอกจากนี้ชุมชนยังสามารถบริจาคมูลสัตว์มาเป็นวัสดุในการปรับปรุงบำรุงดินของโรงเรียนด้วย บริจาคพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ในบางแห่งที่พื้นที่โรงเรียนน้อยไม่สามารถทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ได้ ชุมชนยังให้โรงเรียนยืมที่สำหรับการปลูกพืชอายุสั้น หรือบริจาคผลผลิตทางการเกษตรของตนเองให้กับโรงเรียน แล้วแบ่งปันผลผลิตกัน
การจัดการผลผลิตทางการเกษตร เมื่อกลุ่มผลิตทางการเกษตรมีผลผลิตแล้ว ก็จะนำมาขายผ่านร้านค้าสหกรณ์ หากผลผลิตอาหารสดมีเหลือก็ทำการแปรรูปถนอมอาหารต่อไป
การจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรผ่านร้านสหกรณ์ เป็นพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ให้โรงเรียนมีการดำเนินกิจกรรมสหกรณ์นักเรียน ซึ่งจะมีการจัดตั้งร้านค้าสหกรณ์ขึ้นภายในโรงเรียน และใช้เชื่อมโยงกับกิจกรรมการผลิตทางการเกษตรของโรงเรียน ในการจำหน่ายผลผลิต กลุ่มผลิตจะเป็นผู้กำหนดราคาขายให้แก่ร้านค้าสหกรณ์ ร้านค้าสหกรณ์จะขายผลผลิตนี้ให้แก่โรงครัวของโรงเรียน โดยครูผู้รับผิดชอบอาหารกลางวันจะใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนอาหารกลางวันของรัฐบาล ซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และราคาถูกกว่าท้องตลาดจากสหกรณ์ ไม่ต้องเดินทางไปซื้อในที่ไกล ๆ สหกรณ์ทำบัญชี ออกใบเสร็จรับเงินให้ หากผลผลิตมีเหลือร้านค้าก็สามารถขายให้แก่ผู้ปกครองนักเรียน ชุมชน หรือแม้แต่ครูได้ เงินรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรจะกลับคืนสู่กลุ่มผลิตทางการเกษตรของโรงเรียน ทำให้การเกษตรในโรงเรียนมีความยั่งยืนได้ นอกจากนี้หากกลุ่มผลิตต้องการปัจจัยการผลิต ก็สามารถสั่งผ่านสหกรณ์เพื่อให้ช่วยหาซื้อให้กลุ่มด้วย
การจัดการผลผลิตของกลุ่มผลิตทางการเกษตรโดยจำหน่ายผ่านร้านค้าสหกรณ์ของโรงเรียน
การแปรรูปและถนอมอาหาร ปัจจุบันหลายโรงเรียนสามารถผลิตผลผลิตทางการเกษตรบ่งอย่างได้ในปริมาณมาก เช่น ปลาดุกไขไก่ ผักกาด อีกทั้งบ่างพื้นที่ยังสามารถหาของพื้นบ้านหรือของป่าได้จำนวนหนึ่ง ทำให้นำมาใช้แปรรูปเพื่อเก็บไว้สำหรับบริโภคในวันอื่นๆ หรือบางส่วนก็นำไปจำหน่ายผ่านร้านสหกรณ์ได้ ตัวอย่างเช่น การทำปลาตากแห้ง ปลาแดดเดียว ปลาร้า ไข่เค็ม ผักกาดดอง หน่อไม้ดอง
ใส่ความเห็น